ล้างผัก ผลไม้ง่าย ๆ ลดสารพิษตกค้างได้ถึง 95%
ปัจจุบันกระแสรักสุขภาพกำลังมาแรง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และทำให้สุขภาพแข็งแรง โดยหนึ่งในนั้นคือ การรับประทานอาหารคลีน ที่เน้นไปที่การรับประทาน “ผัก” ซึ่งถือเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าล้างไม่ถูกวิธีก็อาจจะเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อมได้
จากข้อมูลของกรมอนามัยโดย นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เผยว่าจากการตรวจการตกค้างของสารเคมีอยู่ในพืชผักที่จำหน่ายในท้องตลาดพบว่ามีผักสด 10 ชนิด ที่มีการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณสูงได้แก่ กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริก แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักบุ้งจีน มะเขือ และผักชี หากได้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวายและตาย แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อโรค(อีโคไลและซาลโมเนลลา) ซึ่งก่อโรคอาหารเป็นพิษในผักที่นิยมรับประทานเป็นผักแบบสดๆ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการใช้ปุ๋ยจากมูลสัตว์ในการเพาะปลูก
เพื่อความปลอดภัยในการกินผัก ผลไม้ ต้องล้างให้สะอาดทุกครั้งเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งมีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
เตรียมผักผลไม้ก่อนล้าง
- ผักหัวและผักราก ปอกเปลือกตัดส่วนที่ไม่รับประทานออก
- ผักใบ แกะกลีบ คลี่ใบ ถ้ามีดินติดให้เคาะออก
- ผลไม้ ตัดส่วนที่ไม่รับประทานออกและล้างทั้งผล
ล้างด้วยน้ำไหล
- แช่ในน้ำนาน 15 นาที
- นำผักและผลไม้ใส่ตะกร้า เปิดน้ำไหลผ่านด้วยความแรงพอประมาณ
- คลี่ใบผักถูไปมานาน 2 นาที
- ผลไม้แบบเปลือกบาง เช่น องุ่นและชมพู่ ให้แช่ทั้งพวงหรือผล ส่วนผลไม้เปลือกแข็งให้แช่น้ำแล้วล้างโดยใช้มือถูที่ผิว
ล้างให้สะอาด กำจัดสารพิษให้ดียิ่งขึ้นด้วย 2 สิ่งนี้
- แช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ ในอัตราส่วนน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ถึง 60-84%
- ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) ครึ่งช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ถึง 90-95%
วิธีที่ปลอดภัยที่สุด
เลือกซื้อผักออร์แกนิค โดยผักที่ได้รับการตรวจรับรองว่าปลอดสารพิษ หรือปลูกผักทานเอง และถ้าใช้วิธีล้างผักให้ถูกวิธีตามที่กล่าวมา จะทำให้เราห่างไกลจากสารพิษตกค้างได้แน่นอนค่ะ
สนใจสั่งซื้ออุปกรณ์และวัสดุปลูกผัก ผลไม้ คลิกเลย > https://bit.ly/2CFEJF7
ขอบคุณข้อมูลจาก สสส. http://www.thaihealth.or.th/